
เมื่อวันที่ 22 มกราคม 25568 นาย Nguyen Van Nen เลขาธิการคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามประจำนครโฮจิมินห์ ในฐานะผู้แทนนายกรัฐมนตรีเวียดนาม นำเสนอข้อมูลในการสัมมนาหัวข้อ “อุตสาหกรรมยาของเวียดนามในยุคดิจิทัล – อนาคตแห่งนวัตกรรมและเทคโนโลยี” ในกรอบการประชุมเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum: WEF) ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์[1] ว่ารัฐบาลเวียดนามได้อนุมัติข้อมติเลขที่ 1165/QD-TTg ลงวันที่ 9 ตุลาคม ค.ศ. 2023 ว่าด้วยแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมยาของเวียดนาม จนถึงปี ค.ศ. 2030 โดยมีวิสัยทัศน์ถึงปี ค.ศ. 2045 โดยกำหนดเป้าหมายให้เวียดนามสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมยาให้ทัดเทียมกับประเทศอื่น ๆ ที่พัฒนาแล้วในภูมิภาคและก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในประเทศชั้นนำด้านอุตสาหกรรมยาของภูมิภาค โดยมีแนวทางดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมยาของเวียดนามที่สำคัญ ดังนี้
(1) พัฒนาอุตสาหกรรมยา อุตสาหกรรมเคมีเภสัชกรรม วัตถุดิบยาที่ผลิตภายในประเทศ เพิ่มมูลค่าการส่งออก และการมีส่วนร่วมในระบบห่วงโซ่อุปทานยาของโลกมากขึ้น
(2) ผลักดันให้อุตสาหกรรมยาเป็นอุตสาหกรรมหลัก พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรบุคคล และปรับปรุงกลไกต่าง ๆ
(3) ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี สนับสนุนการผลิตหรือการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อผลิตยาสมุนไพร ยาแผนโบราณที่ผลิตจากแหล่งสมุนไพรในประเทศ สารออกฤทธิ์ทางยา ยาใหม่ ยาต้นแบบ ยาหายาก ยาสามัญชนิดแรกที่ผลิตในประเทศ ยาที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง วัคซีน และผลิตภัณฑ์ทางชีวภาพ
(4) วิจัยเพื่ออนุรักษ์และพัฒนาแหล่งพันธุกรรมของสมุนไพรที่มีค่า หายาก และมีถิ่นกำเนิดในประเทศ รวมถึงพัฒนาสายพันธุ์ใหม่จากแหล่งพันธุกรรมของสมุนไพรที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง
(5) เพิ่มเติมนโยบายส่งเสริมเฉพาะอุตสาหกรรมยา เพื่อให้ได้รับสิทธิพิเศษและประโยชน์ตามกฎหมายเพื่อกระตุ้นให้เกิดการพัฒนา อาทิ โครงการลงทุนที่มีมูลค่า 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป จะได้รับสิทธิพิเศษด้านการลงทุน
แนวทางการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมยาในอนาคต
ในระยะต่อไป เวียดนามจะเร่งส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมยาในด้านต่อไปนี้
(1) ส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ Big Data และ Internet of Things (IoT) ในการวิจัย พัฒนา และผลิตยา โดยเฉพาะการเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต การควบคุมคุณภาพ และการจัดการห่วงโซ่อุปทานของยา
(2) เน้นลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อสรรค์สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เพื่อรักษาโรคไม่ติดต่อ โรคมะเร็ง และยาชีวเภสัช รวมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์สีเขียว เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสอดรับกับมาตรฐานสากลเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
(3) ระดมทรัพยากรทั้งจากองค์กรและบุคคลในประเทศและต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมการลงทุนด้านการวิจัย การทดสอบ การพัฒนาการผลิตยา วัคซีน ผลิตภัณฑ์ทางชีวภาพในประเทศ และการผลิตส่วนประกอบของยา รวมถึงลงทุนจัดตั้งศูนย์ทดลองทางคลินิกระดับนานาชาติ
(4) สร้างระบบนิเวศนวัตกรรมทางเภสัชกรรม พัฒนาศูนย์วิจัยและบ่มเพาะเทคโนโลยีในเขตเทคโนโลยีขั้นสูง รวมถึงการจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมยา
(5) สนับสนุนความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจกับสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี AI ที่ใช้ในการผลิตยา รวมถึงยกระดับการฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล โดยเฉพาะในสาขาสาธารณสุขและเภสัชกรรม
(6) สนับสนุนภาคธุรกิจให้ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล เช่น WHO-GMP และ EU-GMP เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลก และสร้างสภาวะแวดล้อมที่อำนวยความสะดวกในการส่งเสริมการส่งออกยาสู่ตลาดโลก
(7) วางแผนปรับปรุงกฎระเบียบเกี่ยวกับการคุ้มครองและบังคับใช้สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาสำหรับผลิตภัณฑ์ยาของเวียดนาม รวมถึงระเบียบเกี่ยวกับการบริหารจัดการระบบจำหน่ายและจัดหายาให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ตลอดจนให้ความสำคัญในเรื่องกฎเกณฑ์การประมูลราคา กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างการรับประกันความโปร่งใสและการเปิดเผยข้อมูล รวมถึงการให้ความสำคัญกับยาที่มีคุณภาพสูงในราคาที่สมเหตุสมผล
อนึ่ง ในที่ประชุมฯ ผู้แทนจากภาคอุตสาหกรรมและบริษัทต่าง ๆ เห็นพ้องกันว่า เวียดนามมีประวัติศาสตร์การพัฒนายามาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในด้านยาสมุนไพรและยาแผนโบราณ อีกทั้งยังมีแหล่งยาและทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบในการพัฒนาต่อยอดต่อไป
ปัจจุบัน อุตสาหกรรมยาของเวียดนามมีการพัฒนาและเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยเป็นเลขสองหลัก จาก 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2558 เป็น 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568 และคาดว่าจะสูงถึง 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2569
นอกจากนี้ ข้อมูลปัจจุบันระบุว่า เวียดนามมีโรงงานผลิตยาที่ผ่านมาตรฐาน WHO-GMP[2] จำนวน 238 แห่ง และโรงงานที่ผ่านมาตรฐาน EU-GMP[3] จำนวน 17 แห่ง พร้อมด้วยเครือข่ายผู้ค้าส่งกว่า 5,000 ราย และร้านขายยากว่า 62,000 แห่ง ทั้งนี้ เวียดนามสามารถผลิตยาเพื่อรองรับความต้องการภายในประเทศที่กำลังเพิ่มมากขึ้น โดยคิดเป็นร้อยละ 50 ของปริมาณความต้องการของประชาชน อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะความร่วมมือระหว่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งในด้านการวิจัยและการผลิตยา
* * * * *
ที่มา: สำนักข่าว Bao Chinh Phu เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568
[1] การสัมมนาจัดโดยกระทรวงการวางแผนและการลงทุนเวียดนาม ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม และบริษัท FPT ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทด้านเทคโนโลยีและการสื่อสารชั้นนำของเวียดนาม โดยมีผู้แทนจากบริษัทอุตสาหกรรมยาชั้นนำจากเวียดนามและนานาชาติจำนวน 15 แห่งเข้าร่วม เพื่อหารือเกี่ยวกับโอกาสการลงทุนในอุตสาหกรรมยาของเวียดนามในยุคดิจิทัล แผนการลงทุนของบริษัทอุตสาหกรรมยา และข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและแนวทางสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมยาของเวียดนาม
[2] หลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการผลิตยาตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก
[3] หลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการผลิตยาตามมาตรฐานของสหภาพยุโรป ซึ่งมีความซับซ้อนกว่ามาตรฐาน WHO กว่า 3 เท่า และมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า