“รู้กฎ” กับศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในเวียดนาม
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย
กฎหมายการลงทุนฉบับใหม่ของเวียดนามมีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง ?
สภาแห่งชาติเวียดนามได้อนุมัติกฎหมายการลงทุนฉบับใหม่ (กฎหมายการลงทุนปี ค.ศ. 2020) เพื่อใช้แทนฉบับเดิม (กฎหมายการลงทุนปี ค.ศ. 2014) โดยเริ่มมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา กฎหมายการลงทุนฉบับใหม่นี้มีความเปลี่ยนแปลงสำคัญหลายประการที่นักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติควรจะต้องศึกษาข้อมูลก่อนมาลงทุน ศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในเวียดนาม สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอยขอสรุปสาระสำคัญของกฎหมายดังกล่าว เพื่อให้นักลงทุนไทยได้ศึกษาในเบื้องต้น ดังนี้
1. การเข้าสู่ตลาดและเงื่นไขการลงทุนสำหรับนักลงทุนต่างชาติ กฎหมายการลงทุนปี ค.ศ. 2020 กำหนดให้นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้าสู่ตลาดได้ภายใต้เงื่อนไขเดียวกันกับนักลงทุนเวียดนาม ยกเว้นสาขาที่รัฐบาลเวียดนามมีประกาศกำหนดให้เป็นสาขาการลงทุนที่มีเงื่อนไข อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีช่วงเวลาที่
แน่ชัดว่ารัฐบาลเวียดนามจะประกาศรายการสาขาการลงทุนที่มีเงื่อนไขเมื่อใด ปัจจุบัน มีเพียงเงื่อนไขทางการลงทุน (investment conditions) สำหรับนักลงทุนต่างชาติ ของกระทรวงการวางแผนและการลงุทนเท่านั้น
2. สาขาการลงทุนที่รัฐบาลเวียดนามส่งเสริมและให้สิทธิประโยชน์ ประกอบด้วย
(1) การศึกษาระดับวิทยาลัย
(2) การผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์และเภสัชกรรม
(3) การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมสนับสนุนในรายการที่รัฐบาลเวียดนามส่งเสริมการพัฒนา ตามที่ระบุในกฤษฎีกา 111/2015/ND-CP ปี ค.ศ. 2015
(4) การผลิตสินค้าและบริการที่ส่งเสริมการเข้าร่วมห่วงโซ่มูลค่า
(5) เคหะชุมชน (social housing)
(6) startup ด้านนวัตกรรม
(7) การวิจัยและการพัฒนา
(8) การสนับสนุนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(9) co-working space สำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
โครงการที่จะได้รับสิทธิพิเศษและการส่งเสริมการลงทุนตามกฎหมายการลงทุน ค.ศ. 2020 ได้แก่
(1) การสร้างศูนย์นวัตกรรม และศูนย์วิจัยและพัฒนา ที่มีมูลค่าการลงทุน 3 ล้านล้านเวียดนามด่ง (ประมาณ 130 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และมีการเบิกจ่ายงบการลงทุน 1 ล้านล้านเวียดนามด่ง (ประมาณ 43 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ภายใน 3 ปีแรกนับตั้งแต่ได้รับใบจดทะเบียนการลงทุน
(2) การสร้างศูนย์นวัตกรรมแห่งชาติ ภายใต้มตินายกรัฐมนตรีเวียดนาม
(3) การลงทุนในสาขาที่ได้รับการส่งเสริมเป็นพิเศษ ที่มีมูลค่าการลงทุน 30,000 ล้านล้านเวียดนามด่งขึ้นไป (ประมาณ 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และมีการเบิกจ่ายงบการลงทุน 10,000 ล้านล้านเวียดนามด่ง (ประมาณ 430 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ภายใน 3 ปีแรกนับตั้งแต่ได้รับใบจดทะเบียนการลงทุน
ในขณะที่ สาขาการลงทุนที่จะไม่ได้รับสิทธิพิเศษและไม่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ได้แก่
(1) การทำเหมืองแร่
(2) การผลิตหรือการค้าสินค้าและบริการที่ถูกเรียกเก็บภาษีสรรพสามิต (ยกเว้นการผลิตรถยนต์ เครื่องบิน และเรือ)
(3) ที่อยู่อาศัยเชิงพาณิชย์ (commercial housing)
(4) โครงการที่ได้รับใบจดทะเบียนการลงทุนหรือเอกสารอนุมัติการลงทุนอื่น ๆ ที่ออกให้ก่อนวันที่ 1 มกราคม 2563
3. เปลี่ยนสัดส่วนการเป็นเจ้าของกิจการของนักลงทุนที่ถือว่าเป็นชาวต่างชาติจากร้อยละ 51 เป็น
มากกว่าร้อยละ 50 ของทุนจัดตั้ง
4. เงื่อนไขเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งชาติและการป้องกันประเทศ โครงการลงทุนและการดำเนินธุรกิจอาจถูกหยุดชั่วคราวหรือยุติหากการดำเนินการนั้นเป็นอันตรายหรืออาจเป็นอันตรายต่อความมั่นคงแห่งชาติและการป้องกันประเทศ
5. กำหนดแนวทางการอนุมัติการซื้อและการควบรวมกิจการ (Merge and Acquisition: M&A) ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยส่วนหนึ่งของกฎหมายระบุว่า การโอนถ่ายหุ้นหรือเงินทุนระหว่างนักลงทุนต่างชาติหรือ
นักลงทุนซึ่งถือว่าเป็นต่างชาติที่ไม่ได้ก่อให้เกิดการเพิ่มขึ้นของการถือครองสุทธิในบริษัท จะไม่ได้รับการอนุมัติให้ทำ M&A
6. ลดการสนับสนุนของรัฐบาลในโครงการขนาดใหญ่ กฎหมายฉบับใหม่ไม่ได้กำหนดความรับผิดชอบของรัฐบาลที่จะต้องค้ำประกันภาระหนี้ของรัฐวิสาหกิจ หรือค้ำประกันการใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
7. การยุติโครงการลงทุนขึ้นอยู่กับการไม่บังคับตามเจตนาลวงของคู่กรณี (Sham Transaction) กฎหมายการลงทุนฉบับใหม่อนุญาตให้หน่วยงานที่มีอำนาจของเวียดนามสั่งยุติการลงทุนได้ หากพบว่า
การดำเนินธุรกิจนั้นเข้าข่ายไม่บังคับตามเจตนาลวงของคู่กรณี (sham transaction) ตามที่กำหนดในประมวลกฎหมายแพ่ง ปี ค.ศ. 2015
8. การคัดเลือกนักลงทุน กฎหมายได้กำหนดแนวทางการคัดเลือกนักลงทุน และกำหนดกฎเกณฑ์และเงื่อนไขที่จะปรับใช้สำหรับกรณีต่าง ๆ ดังนี้
(1) การประมูลราคากรรมสิทธิ์ที่ดินตามข้อกำหนดของกฎหมายที่ดิน
(2) การประมูลเพื่อคัดเลือกนักลงทุนตามข้อกำหนดของกฎหมายการประมูล
(3) การยอมรับนักลงทุนตามข้อกำหนดของกฎหมายการลงทุน
9. การกำหนดเวลาดำเนินกิจการ กฎหมายฉบับใหม่อนุญาตให้นักลงทุนสามารถเปลี่ยนเวลาการเริ่มดำเนินกิจการของโครงการลงทุนที่ได้รับอนุมัติในหลักการแล้วเป็นไม่เกิน 24 เดือน ยกเว้นกรณีต่าง ๆ ดังนี้
(1) รัฐบาลส่งมอบที่ดินล่าช้า
(2) มีคำร้องขอจากหน่วยงานรัฐบาล
(3) ความล่าช้าของขั้นตอนการบริหารจัดการของรัฐ
(4) การเปลี่ยนแผนแม่บทของรัฐบาล
(5) มีการเปลี่ยนวัตถุประสงค์ที่ระบุในการอนุมัติหลักการ
(6) มีการเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ในการอนุมัติหลักการ
(7) มีการเพิ่มการลงทุนอย่างต่ำร้อยละ 20 ซึ่งทำให้ขนาดการลงทุนเปลี่ยนไป
ทั้งนี้ สำหรับกรณีข้างต้น จะได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนเวลาเริ่มดำเนินกิจการได้มากกว่า 24 เดือน
10. โครงการที่จะไม่ได้รับอนุญาตให้ขยายขนาดการดำเนินกิจการ ได้แก่ โครงการที่ใช้เทคโนโลยีล้าสมัย ส่งผลกระทบต่อมลพิษและสิ่งแวดล้อม หรือใช้ทรัพยากรอย่างหนัก
11. อำนวยความสะดวกต่อธุรกิจ startup ต่างชาติ โดยธุรกิจ startup ต่างชาติที่รวมกับธุรกิจ startup ขนาดกลางและขนาดเล็กด้านนวัตกรรม หรือกองทุน startup ด้านนวัตกรรม ไม่จำเป็นต้องมีโครงการลงทุน และไม่จำเป็นต้องมีใบรับรองจดทะเบียนการลงทุน สำหรับขั้นตอนเพื่อให้ได้รับการรับรองว่าเป็นธุรกิจ startup ขนาดกลางและขนาดเล็กด้านนวัตกรรมได้ระบุไว้ในกฎหมายการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก ปี ค.ศ. 2017 (2017 Law on Assistance for Small and Medium-Sized Enterprises)
สามารถดาวน์โหลดกฎหมายฉบับเต็มโดย scan QR Code ด้านล่างนี้