เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2565 คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจกลาง (Central Economic Commission) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ปรึกษากลางของเวียดนาม ระบุว่า เศรษฐกิจของเวียดนามจะเผชิญกับความยากลำบากและความท้าทายมากมายทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกในปี 2566
แม้ว่าในปี 2565 เศรษฐกิจเวียดนามมีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วประมาณร้อยละ 8 แต่การเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 5.2 ในช่วงปี 2564-2565 ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ 6.5 ที่กำหนดโดยการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ครั้งที่ 13 สำหรับช่วงปี 2564-2568
เนื่องจากเวียดนามมีเศรษฐกิจแบบเปิดจึงจะได้รับผลกระทบอย่างมากจากเศรษฐกิจโลกที่กำลังมีสัญญาณถดถอย โดยการนำเข้า-ส่งออกของเวียดนามในปี 2566 อาจได้รับผลกระทบอย่างมากเมื่อเศรษฐกิจประเทศที่เป็นคู่ค้าสำคัญของเวียดนามถูกคาดการณ์ว่าจะต้องเผชิญกับสภาวะถดถอย โดยเฉพาะ 7 ประเทศที่เวียดนามส่งออกคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 50.8 ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี สหรัฐอเมริกาและฮ่องกง และ 7 ประเทศที่มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 42 ของมูลค่าการนำเข้าของเวียดนาม ได้แก่ ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ สหรัฐฯ มาเลเซีย ออสเตรเลีย และอินโดนีเซีย ในส่วนของการลงทุน มีการคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของประเทศที่เป็นนักลงทุนต่างชาติ 10 อันดับแรกในเวียดนาม ยกเว้นจีนและไทย ก็จะต้องเจอกับความยากลำบากเช่นกัน
ในขณะเดียวกัน คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจกลางก็ได้ตระหนักถึงประเด็นที่เป็นปัญหาใหญ่ทางเศรษฐกิจภายในประเทศของเวียดนาม โดยเฉพาะตลาดทุน สกุลเงิน และตลาดหุ้นที่ร่วงลงอย่างรวดเร็ว
จากข้อมูลข้างต้น ในการประชุมด้านเศรษฐกิจเวียดนาม ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 17 ธันวาคม 2565 โดยมีนายกรัฐมนตรีเวียดนามเป็นประธาน คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจกลางจะหยิบยกประเด็นสำคัญเพื่อหารือในการประชุมฯ ได้แก่ (1) การมุ่งเน้นการสร้างพื้นที่ในการพัฒนาและขับเคลื่อนการเติบโตใหม่ (2) การทำให้ตลาดการเงินและอสังหาริมทรัพย์แข็งแกร่ง โดยเฉพาะตลาดตราสารหนี้ ที่กำลังเป็นประเด็นในตลาดเงินในขณะนี้ (3) มุ่งเน้นการขจัดปัญหาของการลงทุนภาครัฐและเงินทุนสำหรับธุรกิจ เนื่องจากอัตราการเบิกจ่ายการลงทุนภาครัฐยังต่ำกว่าที่คาดไว้อย่างมาก (4) ปัญหาการจ้างงาน โดยเฉพาะเรื่องการว่างงาน เป็นต้น
ที่มา: VNExpress วันที่ 12 ธันวาคม 2565
https://vnexpress.net/kinh-te-nam-sau-duoc-du-bao-nhieu-thach-thuc-4547308.html