เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 นาย Le Minh Khai รองนายกรัฐมนตรี ได้ลงนามในมติเลขที่ 02/2023/QD-TTg ว่าด้วยการปรับขึ้นเพดานอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีกเฉลี่ย โดยตั้งแต่วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไป เพดานอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีกเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT) จะอยู่ระหว่างอัตราขั้นต่ำ 1,826.22 ดองต่อ kWh (เพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 13.7) และอัตราสูงสุดที่ 2,444.09 ดองต่อ kWh (เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.2)
อย่างไรก็ดี การปรับเพดานอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีกเฉลี่ยดังกล่าวยังไม่กระทบต่ออัตราค่าไฟฟ้าสำหรับครัวเรือนและอุตสาหกรรมโดยทันทีจนกว่าจะมีประกาศอย่างเป็นทางการของกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า (MOIT) โดยรัฐบาลเวียดนามยังคงอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับการดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชนและการประกอบธุรกิจยังอยู่ที่ 1,864.44 ดองต่อ kWh (หรือประมาณ 2.68 บาท/ kWh) ซึ่งเป็นอัตราที่ใช้ตั้งแต่ปี 2562 ถึงปัจจุบัน
ข้อมูลของ Globalpetrolprices ระบุว่า อัตราค่าไฟฟ้าข้างต้นต่ำกว่าหลายประเทศในภูมิภาค เช่น ต่ำกว่าฟิลิปปินส์ร้อยละ 50 ซึ่งเป็นประเทศที่มีค่าไฟฟ้าสูงที่สุดในภูมิภาค (0.172 ดอลลาร์สหรัฐ/kWh) อินโดนีเซีย (2,310 ดอง/kWh) ประเทศไทย (3,273 ดอง/kWh) และต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ อีกด้วย ในขณะเดียวกัน อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยของเวียดนามสูงกว่า สปป. ลาว รัสเซีย บังกลาเทศ อินเดีย ตุรกี เป็นต้น
ในปี 2565 การไฟฟ้าเวียดนาม (EVN) ถูกประเมินว่าขาดทุนถึงประมาณ 31,000 พันล้านดอง (ประมาณ 1.32 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และคาดว่าจะขาดทุนต่อไปอีกในอนาคต จึงได้ยื่นเรื่องต่อ MOIT เสนอให้ปรับขึ้นอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีกดังกล่าว โดย MOIT จะประสานงานกับกระทรวงการคลัง (MOF) เพื่อคำนวณและปรับอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีกและเสนอนายกรัฐมนตรีเวียดนามอนุมัติต่อไป
ที่มา: VnExpress และ Government News วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566
https://vnexpress.net/tang-khung-gia-ban-le-dien-binh-quan-4567303.html
https://baochinhphu.vn/quy-dinh-moi-ve-khung-gia-ban-le-dien-binh-quan-102230206104426613.htm
