วันที่ 8 พฤษภาคม 2567 กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกา กำลังการพิจารณาเกี่ยวกับการยกระดับเวียดนามสู่สถานะ “ระบบเศรษฐกิจแบบกลไกตลาด (Market Economy Status- MES)” จากระบบเศรษฐกิจที่ไม่ใช่กลไกตลาด (Non-Market Economy Status) โดยหากเวียดนามได้รับการจัดอยู่ในสถานะ MES จะได้รับประโยชน์จากการลดภาษีในการตอบโต้การทุ่มตลาดสำหรับสินค้านำเข้าจากเวียดนาม ปัจจุบัน สินค้าที่มาจากประเทศที่ไม่ใช่ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดอย่างเวียดนาม จะต้องเผชิญกับอัตราภาษีสูง และการสอบสวนภาษีในการตอบโต้การทุ่มตลาด อาทิ ในปี 2567 คณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯ (USITC) เก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดร้อยละ 25.76 สำหรับกุ้งแช่แข็งจากเวียดนาม ในขณะที่กุ้งแช่แข็งจากประเทศไทย ซึ่งจัดอยู่ในสถานะเศรษฐกิจแบบกลไกตลาดอยู่ที่ร้อยละ 5.34 เท่านั้น
ในการนี้ ผู้แทนของกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม (MOIT) ระบุว่า เวียดนามมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ของสหรัฐฯ ในการจัดอยู่ในสถานะระบบเศรษฐกิจแบบกลไกตลาด ได้แก่ การแปลงสกุลเงิน อัตราค่าจ้างที่กำหนดโดยการเจรจาต่อรองอย่างเสรีระหว่างแรงงานและฝ่ายบริหาร การอนุญาตให้ร่วมทุนและลงทุนจากต่างประเทศ การตัดสินใจเรื่องราคาและผลผลิต รวมทั้งปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น อย่างไรก็ดี การพิจารณายกระดับสถานะเวียดนามเป็นเศรษฐกิจแบบกลไกตลาดข้างต้นได้รับการคัดค้านโดยผู้ผลิตเหล็กของสหรัฐฯ และบริษัทกุ้งในอ่าวเม็กซิโก เนื่องจากมีข้อกังวลว่า จะทำให้เกิดการนำเข้าสินค้าที่ไม่เป็นธรรมจากเวียดนามจำนวนมาก และเป็นฐานให้จีนในการหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ในขณะที่กลุ่มผู้ค้าปลีกและกลุ่มธุรกิจอื่นๆ สนับสนุนการพิจารณาการยกระดับสถานะเศรษฐกิจดังกล่าว ซึ่งคาดว่า จะได้ข้อสรุปในปลายเดือนกรกฎาคม 2567
(ประมวลข้อมูลโดยศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในเวียดนาม สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย)
ที่มา: สำนักข่าวท้องถิ่น วันที่ 10 พฤษภาคม 2567
https://www.reuters.com/business/us-weighs-upgrade-vietnam-market-economy-status-2024-05-08/