
เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2566 ธนาคารโลก (World Bank: WB) ได้เผยแพร่รายงานเศรษฐกิจมหภาคของเวียดนามในเดือนเมษายนของปี 2566 โดยระบุว่าเศรษฐกิจเวียดนามชะลอตัวลง โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมและอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งพบว่าการเติบโตของสินเชื่อชะลอตัวลงจากร้อยละ 14.17 ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 เป็นร้อยละ 9.5 ในไตรมาสแรกของปี 2566 โดยเป็นระดับการเติบโตของสินเชื่อที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2563
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญของ WB แนะนำว่า (1) เวียดนามควรติดตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศในไตรมาสที่ 1 ของปี 2566 อย่างใกล้ชิด หากอุปสงค์ในประเทศและต่างประเทศยังคงอ่อนแอ รัฐบาลเวียดนามอาจพิจารณาสนับสนุนอุปสงค์มวลรวมผ่านการเร่งเบิกจ่ายการลงทุนภาครัฐ (2) การปรับขึ้นราคาไฟฟ้าและฐานเงินเดือนของภาครัฐในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า รวมถึงการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารแห่งชาติเวียดนาม (SBV) อาจนำไปสู่แรงกดดันใหม่ต่ออัตราเงินเฟ้อ (3) การใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดของสหรัฐฯ เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ อาจส่งผลกระทบต่อการบริหารอัตราแลกเปลี่ยน โดยเฉพาะเมื่อ SBV ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อพยุงเศรษฐกิจ (4) เวียดนามต้องให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลภาคการเงินอย่างใกล้ชิดเนื่องจากตลาดการเงินทั่วโลกยังคงมีความผันผวนอย่างมาก รวมถึงเศรษฐกิจในประเทศกำลังชะลอตัว ตลอดจนภาวะซบเซาของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 20 ของสินเชื่อทั้งหมด
จากรายงานพบว่า ในไตรมาสแรกของปี 2566 เศรษฐกิจเวียดนามเติบโตร้อยละ 3.3 ชะลอตัวลงจากร้อยละ 5.9 ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตในไตรมาสแรกที่ต่ำที่สุดเป็นครั้งที่ 2 ในรอบทศวรรษ โดยสาเหตุมาจากการลดลงของอุปสงค์ในตลาดโลกส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมในเวียดนามหดตัวลง ในขณะที่ภาคบริการเติบโตร้อยละ 6.8 และภาคการเกษตรเติบโตร้อยละ 2.5 นอกจากนี้ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม (IPI) อยู่ในระดับต่ำในไตรมาสแรกของปี 2565 ถึงร้อยละ 1.6อย่างไรก็ตาม IPI ปรับตัวดีขึ้นในเดือนมีนาคม 2566 โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.4 ซึ่งสาขาที่มีการเติบโตได้ดี ได้แก่ เหมืองแร่ สิ่งทอ การผลิตโลหะ และการผลิตยานยนต์ ในขณะที่การผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์และเฟอร์นิเจอร์ลดลงร้อยละ 13 และ 21.7 ตามลำดับ
นอกจากนี้ รายงานยังระบุว่า ในเดือนมีนาคม 2566 ยอดค้าปลีกสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลง โดยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ลดลงจากร้อยละ 4.9 ในเดือนมกราคม 2566 เป็นร้อยละ 4.3 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 และร้อยละ 3.4 ในเดือนมีนาคม 2566 ผู้เชี่ยวชาญของ WB ยังให้ข้อมูลด้วยว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2566 การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ลดลงร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 ซึ่งเป็นไตรมาสที่ 5 ติดต่อกันที่ FDI ลดลง ในขณะที่ภาคการส่งออกและนำเข้าก็ลดลงร้อยละ 11.8 และร้อยละ 14.6 ตามลำดับ
ที่มา: Saigon Giai Phong เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2566
Bao tin tuc เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2566