ในช่วงบ่ายวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล กระทรวงการคลังเวียดนามจัดการประชุมร่วมกับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของเวียดนาม ภายใต้หัวข้อเรื่อง “รัฐสร้างสรรค์ วิสาหกิจขนาดกลางและ
ขนาดย่อมของเวียดนามก้าวกระโดดในยุคใหม่”
ที่ประชุมชี้ข้อเสียเปรียบของธุรกิจ SMEs ในเวียดนามซึ่งยังมีประสบการณ์น้อย ขาดการใช้เทคโนโลยีทันสมัย และมีทุนต่ำ (ธุรกิจ SMEs กว่าร้อยละ 90 มีเงินทุนต่ำกว่า 10 พันล้านดอง (ประมาณ 4 แสนดอลลาร์สหรัฐ) นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมายอดคงค้างสินเชื่อ (Outstanding Credit) สำหรับธุรกิจ SMEs มีเพียงเกือบร้อยละ 17.6 ซึ่งธุรกิจ SMEs ส่วนใหญ่ดำเนินงานแบบกระจัดกระจาย โดยมุ่งเน้นไปที่ภาคการค้าและบริการเป็นหลัก สัดส่วนของวิสาหกิจที่เข้าร่วมในการผลิตมีจำกัดมาก
สมาคมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งเวียดนาม (VINASME) ได้เสนอแนะต่อรัฐบาลให้ยื่นร่างแก้ไขกฎหมายภาษีเงินได้นิติบุคคล (CIT) ต่อรัฐสภาโดยเร็ว โดยมีเป้าหมายเพื่อลดภาษีสำหรับ SMEs ปัจจุบันอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล (CIT) ที่เวียดนามอยู่ที่ร้อยละ 20 ซึ่งมีผลตั้งแต่ปี 2559 ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ
ในอาเซียน อัตราภาษีนี้เทียบเท่ากับอัตราที่ใช้ในประเทศไทย สปป.ลาว และกัมพูชา แต่ต่ำกว่าฟิลิปปินส์
(ร้อยละ 30) มาเลเซีย (ร้อยละ 24) และอินโดนีเซีย (ร้อยละ 22) อย่างไรก็ตาม และสูงกว่าสิงคโปร์ (ร้อยละ 17) และบรูไน (ร้อยละ 18.5)
นายกรัฐมนตรี Pham Minh Chinh ได้กล่าวถึงแนวทาง ภารกิจ และแนวทางแก้ไขปัญหาสำหรับ SMEs เพื่อให้หน่วยงานและธุรกิจต่างๆ ได้ร่วมกันทำ มาตรการสนับสนุนทางการเงินได้รับการพิจารณาและเสนอแนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อข้อเสนอให้ลดภาษีเงินได้นิติบุคคล (CIT) สำหรับ SMEs เวียดนาม ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเวียดนามเห็นพ้องเกี่ยวกับการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับ SMEs และจะนำเรื่องดังกล่าวไปศึกษาทบทวนก่อนนำเสนอต่อรัฐบาลต่อไป