เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 บริษัท SCG Chemicals (SCGC) และบริษัท Long Son Petrochemicals (LSP) ในเครือ SCG Group (ประเทศไทย) ผู้ลงทุนโครงการ Long Son Petrochemical Complex ได้หารือกับนาย Vo Van Minh รองเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามประจำนครโฮจิมินห์ และประธานสภาประชาชนนครโฮจิมินห์ โดยบริษัทฯ เปิดเผยว่าโครงการปิโตรเคมี Long Son ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบล Long Son นครโฮจิมินห์ จะกลับมาดำเนินการได้เต็มรูปแบบภายในเดือนสิงหาคม 2568 หลังหยุดดำเนินการชั่วคราวเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 เนื่องจากผลกระทบจากความผันผวนของตลาดโลก
นายกุลเชฏฐ์ ธาราจันทร์ รองผู้จัดการใหญ่ SCG Chemicals (SCGC)ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท LSP และ Country Director ของ SCG Vietnam ระบุว่า โครงการดังกล่าวมีมูลค่าการลงทุนรวม 5.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นโครงการปิโตรเคมีแบบครบวงจรแห่งแรกของเวียดนาม ประกอบด้วย (1) โรงงานผลิตโอเลฟิน (olefins) กำลังการผลิต 1.35 ล้านตันต่อปี (2) โรงงานผลิตพอลิโอเลฟิน (polyolefins) จำนวน 3 แห่ง กำลังการผลิตรวม 1.4 ล้านตันต่อปี และ (3) ระบบท่าเรือเฉพาะทาง ถังเก็บ และระบบสาธารณูปโภคอุตสาหกรรมที่ทันสมัยอื่น ๆ ครบครัน
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างดำเนินการขั้นตอนสุดท้ายของการลงทุนเพิ่มเติมอีก 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อก่อสร้างถังเก็บเอทานอล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของโครงการในระยะยาว โดยยังคงยึดมั่นในการรักษามาตรฐานด้านโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาทรัพยากรบุคคลอย่างต่อเนื่อง
นาย Vo Van Minh รองเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามประจำนครโฮจิมินห์ และประธานสภาประชาชนนครโฮจิมินห์ ชื่นชมความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการฝ่าฟันวิกฤต รวมถึงการรักษาการจ้างงานและความต่อเนื่องของโครงการฯ พร้อมยืนยันว่า นครโฮจิมินห์ให้ความสำคัญกับโครงการขนาดใหญ่ที่มีบทบาทต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว โดยโครงการ Long Son ไม่เพียงเป็นการลงทุนที่มีมูลค่าสูง แต่ยังมีความสำคัญเชิงเทคโนโลยี การจ้างงาน และการกระตุ้นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทาน พร้อมยืนยันการสนับสนุนบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งสร้างสภาพแวดล้อมการลงทุนที่โปร่งใส เอื้อต่อการดำเนินงานระยะยาว และจะอำนวยความสะดวกในขั้นตอนทางกฎหมาย ตลอดจนช่วยขจัดอุปสรรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น
อนึ่ง บริษัท SCG Chemicals (SCGC) ในเครือ SCG Group รายงานผลขาดทุนจากโครงการ Long Son ในปี 2567 เป็นมูลค่า 10,269 ล้านบาท (ประมาณ 303.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) อย่างไรก็ตาม การกลับมาดำเนินการในปี 2568 สะท้อนความเชื่อมั่นในศักยภาพของตลาดเวียดนามและความมุ่งมั่นของนักลงทุนไทยต่อภูมิภาคนี้
* * * * *
ที่มา: สำนักข่าว The investor เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2568
