
สภาแห่งชาติเวียดนามได้กำหนดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2565 ไว้ที่ระหว่างร้อยละ 6 – 6.5 โดยมีปัจจัยกระตุ้นการเติบโต อาทิ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่จะฟื้นตัวขึ้น การใช้ประโยชน์จากความตกลงทางการค้ารายการใหม่ รวมทั้งการออกนโยบายสนับสนุนทางการเงินให้แก่ประชาชนเพื่อฟื้นกระตุ้นการบริโภค อย่างไรก็ตาม ธนาคารโลกประเมินว่า เศรษฐกิจเวียดนามอาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงหลายประการ โดยปัจจัยหนึ่ง ได้แก่ ผลกระทบจากสถานการณ์เงินเฟ้อ
ในขณะที่เศรษฐกิจเวียดนามบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลกมากขึ้นผ่านการจัดทำความตกลงทางการค้าต่าง ๆ จึงคาดว่า ในปี ๒๕๖๕ อัตราเงินเฟ้อของเวียดนามจะขึ้นอยู่กับปัจจัยจากภายนอกเป็นหลัก เช่น ราคาสินค้าโลกและน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นของประเทศคู่ค้าหลักของเวียดนามอย่างเช่นสหรัฐฯ จากผลการสำรวจของ Bloomberg ระบุว่า ในปี ๒๕๖๕ อัตราเงินเฟ้อของเวียดนามจะอยู่ที่ร้อยละ ๓.๔๕ ในขณะที่ ADB คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ ๓.๘ ซึ่งถือว่าปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ดี เวียดนามยืนยันว่าจะสามารถควบคุมภาวะเงินเฟ้อในปี ๒๕๖๕ ได้ โดยสภาแห่งชาติเวียดนามได้กำหนดเป้าหมายการเติบโตของอัตราเงินเฟ้อและดัชนีราคาผู้บริโภคในปี ๒๕๖๕ ให้ต่ำกว่าร้อยละ ๔
ในด้านสถานการณ์ภายในประเทศ สำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม รายงานว่า ราคาวัตถุดิบที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรมหลายรายการเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี ๒๕๖๔ ส่งผลให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น สาเหตุหลักเนื่องจากการปรับขึ้นของราคาเชื้อเพลิงซึ่งคิดเป็นร้อยละ ๓.๕๒ ของต้นทุนการผลิต ในขณะเดียวกันต้นทุนในการผลิตอาหารสัตว์ พลาสติก และสิ่งทอก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน นอกจากนี้สาเหตุอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อในเวียดนามในปี ๒๕๖๔ ได้แก่ แรงกดดันในการเปิดประเทศซึ่งทำให้เวียดนามต้องเร่งผลิตสินค้าในขณะที่ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น มาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-๑๙ นโยบายตัดลดดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อเพิ่มสินเชื่อสำหรับภาคธุรกิจ ซึ่งทำให้อุปทานทางการเงินเพิ่มขึ้นสูง
ในส่วนสถานการณ์เศรษฐกิจโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๕ ดัชนีราคาโลก (Global Price Index) เพิ่มขึ้นร้อยละ ๔๗.๘๒ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยราคาโลจิสติกส์ในบางเส้นทางเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕๐๐ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙ นอกจากนี้ โดยที่เวียดนามนำเข้าวัตถุดิบในการผลิตถึงร้อยละ ๓๗ ของต้นทุนการผลิตทั้งหมดของประเทศ ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์และการผันผวนของราคาวัตถุดิบ รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนของเงินตราระหว่างประเทศมีส่วนทำให้อัตราเงินเฟ้อของเวียดนามเพิ่มขึ้นด้วย ในขณะที่ปัจจัยสำคัญหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้ คือ ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นหลังจากที่ OPEC ประกาศจะไม่เพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมัน
รัฐบาลเวียดนามตระหนักถึงแนวโน้มการเกิดภาวะเงินเฟ้อในประเทศ จึงได้มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเฝ้าสังเกตราคาน้ำมันโลกและร่วมมือกับกระทรวงคลังวิเคราะห์ปัจจัยด้านราคาและภาษีเพื่อจัดการอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ยังเสนอให้กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าและบริษัทน้ำมันพิจารณาใช้กองทุนเสถียรภาพทางราคาน้ำมันอย่างเหมาะสมและบริหารจัดการราคาน้ำมันอย่างรอบคอบ ในขณะเดียวกัน นักเศรษฐศาสตร์ของเวียดนามเสนอให้รัฐบาลเวียดนามดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจครัวเรือนอย่างครอบคลุม เพื่อให้แรงงานสามารถกลับไปทำงานและกระตุ้นอุปทานสินค้าและบริการ รวมทั้งพิจารณาปรับใช้/ยกเลิกมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมในบางพื้นที่ เร่งพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานทางโลจิสติกส์ และมีนโยบายสนับสนุนด้านสินเชื่อและลดอัตราดอกเบี้ย
ภาวะเงินเฟ้อของเวียดนามน่าจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคภายในประเทศและผู้ประกอบการในภาคการผลิตและภาคบริการ (เช่น โลจิสติกส์ การท่องเที่ยว) เป็นหลัก ผู้ลงทุนที่กำลังศึกษาตลาดเวียดนามหรือกำลังลงทุนในเวียดนามควรประเมินว่า สถานการณ์เงินเฟ้อของเวียดนามจะมีผลกระทบต่อการลงทุนมากน้อยเพียงใด เนื่องจากปัจจัยข้างต้นอาจส่งผลต่อต้นทุนการผลิต/การขนส่งที่สูงขึ้นตามมาด้วย
* * * * *
ศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในเวียดนาม
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย
๑๑ มกราคม ๒๕๖๕