“รู้กฎก่อนรุก” กับศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในเวียดนาม
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย
รถยนต์เป็นสินค้าส่งออกจากไทยมายังเวียดนามที่มีมูลค่าสูงที่สุด ในปี 2564 เวียดนามนำเข้ารถยนต์ประกอบสำเร็จจากไทย 80,903 คัน มูลค่ารวมกว่า 1,509 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นกว่าร้อยละ 12 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าทั้งหมดของไทยมายังเวียดนาม และไทยยังเป็นตลาดที่เวียดนามนำเข้ารถยนต์สูงที่สุดติดต่อกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมาด้วย
หลังจากผู้ประกอบการไทยสามารถปรับตัวให้สอดรับกับมาตรการตรวจสภาพรถยนต์นำเข้าตามกฤษฎีกา 116/2017/ND-CP ซึ่งปรับใช้มาแล้วกว่า 4 ปีเพื่อให้สามารถส่งออกรถยนต์มายังเวียดนามได้ แต่ในปี 2565 นี้ เวียดนามจะเริ่มบังคับใช้มาตรการอื่น ๆ ทั้งที่ปรับใช้กับรถยนต์นำเข้าโดยตรงและนโยบายสนับสนุนผู้ผลิตหรือประกอบรถยนต์ในประเทศ อันจะส่งผลทางอ้อมต่อการนำเข้า บทความนี้ ศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในเวียดนามได้ประมวลสรุปมาตรการต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น เพื่อให้ผู้ประกอบการ “รู้กฎก่อนรุก” ตลาดรถยนต์เวียดนามในอนาคต
มาตรฐาน EURO5: ความท้าทายใหม่สำหรับตลาดรถยนต์เวียดนาม
เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2554 นายกรัฐมนตรีเวียดนามในขณะนั้นได้ออกข้อพิจารณาที่ 49/2011/QD-TTg กำหนดแนวทางการปรับใช้มาตรฐานการปล่อยก๊าซสำหรับรถยนต์และรถจักรยานยนต์สองล้อขนาดใหญ่ที่ผลิตและนำเข้าใหม่ โดยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ให้ปรับใช้มาตรฐานการปล่อยก๊าซระดับ 5 เทียบเท่ามาตรฐาน EURO5 ตามข้อกำหนดของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจแห่งสหประชาชาติในยุโรป (UNECE) หรือของสหภาพยุโรป ซึ่งต่อมา ในช่วงปลายปี 2564 เว็บไซต์ข่าวออนไลน์ของกระทรวงคมนาคมและการขนส่งเวียดนามได้ประกาศว่า เวียดนามจะบังคับใช้มาตรฐาน EURO 5 สำหรับรถยนต์ที่ผลิตและนำเข้าใหม่อย่างเป็นทางการตามกรอบเวลาข้างต้น พร้อมทั้งยืนยันว่า สมาคมผู้ผลิตรถยนต์เวียดนามพร้อมนำรถยนต์มาตรฐาน EURO5 ออกจำหน่ายในตลาดเวียดนามแล้ว
ต่อกรณีดังกล่าว กรมจดทะเบียนยานพาหนะ กระทรวงคมนาคมและการขนส่งเวียดนามระบุว่า จะปรับใช้มาตรฐาน EURO5 สำหรับรถยนต์ใหม่เมื่อออกใบรับรองอนุมัติประเภทรถยนต์เท่านั้น โดยจะทดสอบระดับการปล่อยก๊าซในห้องทดลองเฉพาะทาง และจะไม่ทดสอบกับรถยนต์ที่ใช้อยู่ก่อนแล้ว ทั้งนี้ เมื่อเดือนเมษายน 2564 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและการขนส่งเวียดนามได้ออกหนังสือเวียนกำหนดมาตรฐานแห่งชาติว่าด้วยการปล่อยก๊าซระดับ 5 (EURO5) รหัสมาตรฐาน QCVN 109:2021/BGTVT[1] ซึ่งรถยนต์ทั้งที่ผลิตในประเทศและนำเข้าใหม่จะต้องผ่านการตรวจสอบทางเทคนิคตรงตามมาตรฐานนี้ก่อนจำหน่ายในตลาดเวียดนาม
การกำหนดมาตรฐานใหม่นี้อาจส่งให้การนำเข้ารถยนต์มายังเวียดนามชะลอตัว โดยในช่วงครึ่งแรกของเดือนมกราคม 2565 เวียดนามนำเข้ารถยนต์ทั้งหมดเพียง 2,317 คัน มูลค่ารวม 68.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 62.7 เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งหลังของเดือนธันวาคม 2564
ผลกระทบทางอ้อมจากนโยบายสนับสนุนภายในประเทศ
ในปี 2564 ที่ผ่านมา รัฐบาลเวียดนามได้ออกนโยบายสนับสนุนผู้ผลิตและประกอบรถยนต์ภายในประเทศหลายรายการ ซึ่งอาจสร้างความได้เปรียบและผลกระทบทางอ้อมเหนือรถยนต์นำเข้า
เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2564 นาย Le Minh Khai รองนายกรัฐมนตรีเวียดนามได้ลงนามกฤษฎีการัฐบาลเวียดนามที่ 103/2021/ND-CP อนุมัติการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนรถยนต์ที่ผลิตหรือประกอบภายในประเทศร้อยละ 50 ระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2564 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2565 หลังจากนั้น จะกลับไปใช้อัตราค่าธรรมเนียมตามที่กำหนดไว้ในกฤษฎีกาที่ 20/2019/ND-CP
ต่อมา เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2564 รัฐบาลเวียดนามออกกฤษฎีการัฐบาลที่ 104/2021/ND-CP อนุมัติขยายเวลาการชำระภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ที่ผลิตในประเทศ
นอกจากนี้ เวียดนามจะส่งเสริมการลงทุนด้านการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายให้เวียดนามเป็นผู้ส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยสภาแห่งชาติเวียดนามมีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle) เป็นระยะเวลา 5 ปี ปรับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2570 และรัฐบาลเวียดนามออกข้อพิจารณายกเว้นค่าจดทะเบียนครั้งแรกสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่เป็นระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 และในช่วง 2 ปีต่อไป ให้เรียกเก็บค่าจดทะเบียนเทียบเท่าร้อยละ 50 ของอัตราค่าจดทะเบียนรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน
โอกาสใดสำหรับผู้ประกอบการไทย?
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ผู้ผลิตรถยนต์ในไทยต้องปรับการผลิตให้ตรงตามมาตรฐานของเวียดนาม เพื่อให้สามารถรักษาตลาดส่งออกที่มีศักยภาพนี้ไว้ได้ อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการไทยยังคงสามารถสร้างโอกาสจากนโยบายต่าง ๆ ที่เวียดนามกำหนด จากการประเมินของรัฐบาลเวียดนามพบว่า อัตราการส่วนการใช้วัตถุดิบภายในประเทศในสาขาการผลิตและประกอบรถยนต์ในเวียดนามยังอยู่ในระดับต่ำ ประมาณร้อยละ 10 สำหรับการผลิตรถยนต์ที่นั่งส่วนบุคคล ร้อยละ 40 – 50 สำหรับรถบรรทุก และร้อยละ 55 สำหรับรถขนส่งผู้โดยสาร ปัจจัยนี้อาจเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานวัตถุดิบสำหรับสาขาการผลิตยานยนต์ระหว่างไทยและเวียดนาม ทั้งนี้ ในปี 2564 เวียดนามนำเข้าชิ้นส่วนและอะไหล่รถยนต์จากไทยสูงถึง 835 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
* * * * *
ศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในเวียดนาม
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย
8 กุมภาพันธ์ 2565
[1] ลิงค์สำหรับดูข้อกำหนดมาตรฐาน QCVN 109:2021/BGTVT https://bit.ly/34i0WdN (ยังไม่ปรากฏฉบับแปลภาษาอังกฤษ)