“ภาคใต้ของเวียดนาม” เป็นหนึ่งในจุดหมายของนักลงทุนทั่วโลกในการแสวงหาตลาดใหม่ เนื่องจากศักยภาพทางเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในนครโฮจิมินห์ จังหวัดบ่าเหรี่ยะ-หวุงเต่า นครเกิ่นเทอ และจังหวัดต่างๆ ในเขตบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ด้วยอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจกว่าร้อยละ 10 ต่อปี การขยายตัวของผู้บริโภคและชนชั้นกลาง ข้อได้เปรียบเรื่องต้นทุนด้านแรงงาน ความเชื่อมโยงกันของระเบียงเศรษฐกิจ ประกอบกับหนี้ครัวเรือนต่ำ การลงทุนจากต่างชาติไม่ได้จำกัดเพียงโครงการทุนขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ยังคงมีโอกาสสำหรับนักลงทุนขนาดกลางและขนาดย่อมหรือ SMEs อีกด้วย โดยเฉพาะภาคใต้ของเวียดนามและในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ซึ่งอุดมไปด้วยทรัพยากรด้านการเกษตรและประมง ตลอดจนความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นตามสภาพเศรษฐกิจ อาทิ ธุรกิจการเกษตร ธุรกิจค้าปลีก และธุรกิจการท่องเที่ยวและการบริการ
ในการนี้ ศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทย ณ นครโฮจิมินห์ขอนำเสนอบทความ “เปิดประตูสู่ธุรกิจ SMEs ในภาคใต้ของเวียดนาม : เจาะลึก 3 ธุรกิจดาวรุ่ง” เพื่อความสะดวกในการเข้ามาลงทุนของ SMEs ไทยในการติดต่อประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐต่างๆ รวมถึงบทวิเคราะห์ชี้ช่องทางธุรกิจดาวรุ่งในภาคใต้ของเวียดนาม
วิเคราะห์ธุรกิจดาวรุ่งในภาคใต้ของเวียดนาม
ความเชื่อมโยงระหว่าง SMEs ไทย กับ SMEs เวียดนาม : จากเหตุผลที่กล่าวไปข้างต้นนั้น ศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทย ณ นครโฮจิมินห์ วิเคราะห์ว่า นักธุรกิจไทยมีศักยภาพในการลงทุนในด้านต่อไปนี้ (1) ธุรกิจการเกษตรและการแปรรูปการเกษตร เนื่องจากการทำการเกษตรและการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงยังคงใช้เทคโนโลยีในรูปแบบเก่า ประกอบกับการขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ และการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่ดีของนักลงทุนไทยที่มีประสบการณ์และวิทยาการในการส่งออกเทคโนโลยีการเกษตรระดับกลาง – สูง ภายใต้นโยบาย “Thailand 4.0” ซึ่งสอดคล้องกับ “นโยบายอุตสาหกรรม 4.0 ของเวียดนาม” (2) ธุรกิจการท่องเที่ยวและการบริการ เนื่องจากการเติบโตของระบบคมนาคมทั้งทางบกและทางอากาศ ทำให้การท่องเที่ยวในภาคใต้ของเวียดนามได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ทั้งยังสามารถจัดการท่องเที่ยวแบบผสมผสานเชื่อมโยงกับประเทศไทยได้โดยง่าย (3) ธุรกิจการค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภค เนื่องจากชาวเวียดนามนิยมบริโภคสินค้าไทย เพราะเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ มีราคาที่เหมาะสม กระแสความนิยมสินค้าไทยประเทศไทย รวมถึงการมีบรรจุภัณฑ์ที่สวยงาม
ธุรกิจการเกษตรและการแปรรูปการเกษตร เวียดนามมีความต้องการเครื่องจักรและเทคโนโลยีทางการเกษตรทั้งในส่วนของการผลิตและการแปรรูปวัตถุดิบ ซึ่งสามารถเพิ่มผลผลิตและเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิต โดยเฉพาะเทคโนโลยีระดับกลาง โดยในพื้นที่บริเวณภูมิภาคสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นดั่งอู่ข้าวอู่น้ำของประเทศ มีความเหมาะสมในการทำการเกษตรกรรม และเพาะปลูกต่างๆ โดยพื้นที่บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงเป็นแหล่งผลิตข้าวและอาหารทะเลเพื่อการส่งออกกว่าร้อยละ 90 และ 70 ตามลำดับ แต่เนื่องจากเกษตรกรในพื้นที่ยังขาดเงินลงทุนและเทคโนโลยีที่ทันสมัย จึงทำให้ผลผลิตทางการเกษตรไม่ดีเท่าที่ควร เกษตรกรในภาคใต้ของเวียดนามจึงมีความต้องการและกำลังซื้อเครื่องจักรในการทำเกษตรสูงกว่าภูมิภาคอื่น และยังมีความประสงค์จะส่งบุคลากรไปเรียนรู้วิทยาการด้านการเกษตรเพิ่มขึ้น
ในปัจจุบัน มีนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างชาติสนใจที่จะลงทุนในภาคธุรกิจนี้เป็นจำนวนมาก โดยศูนย์ข้อมูลธุรกิจฯ มีความเห็นว่า นักลงทุนไทยมีข้อได้เปรียบในการลงทุนธุรกิจดังกล่าว สืบเนื่องมาจากวิถีชีวิตการทำการเกษตรของเกษตรกรในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงมีความใกล้เคียงกัน สภาพแวดล้อมและภูมิอากาศมีความคล้ายคลึงกันทางกายภาพ ตลอดจนไทยมีเทคโนโลยีที่เวียดนามกำลังให้ความสนใจ เช่น เครื่องจักรและเทคโนโลยีอัตโนมัติ
ธุรกิจการท่องเที่ยวและการบริการ เมื่อไม่นานมานี้ คณะกงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์ ได้ดำเนินการสำรวจการท่องเที่ยวใหม่ที่เชื่อมต่อเวียดนาม – ลาว – ไทย ผ่านทางภาคกลางของเวียดนาม ไปยังแขวงสะหวันเขต และเข้าสู่ประเทศไทยที่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเส้นทางดังกล่าวมีศักยภาพในการท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม โดยการท่องเที่ยวรูปแบบดังกล่าวนับว่าเป็นเส้นทางการท่องเที่ยวที่น่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวทางบก และเป็นเส้นทางการท่องเที่ยวที่จะสร้างประโยชน์ให้กับทั้ง 3 ประเทศ นอกจากนั้น มีการเปิดเส้นทางการบินเพิ่มขึ้นหลายเส้นทาง เช่น สายการบินบางกอก แอร์เวย์เตรียมตัวเปิดเส้นทาง กรุงเทพฯ – ฝูก๊วก สายการบินไทยแอร์เอเชียเปิดเส้นทาง กรุงเทพฯ – ดานัง และสายการบินเวียดเจท แอร์ เปิดเส้นทางการบิน กรุงเทพฯ – นครเกิ่นเทอ (แบบเช่าเหมาลำ) โดยเมื่อนำเส้นทางที่มีอยู่ก่อนหน้ารวมกับเส้นทางใหม่ๆ ทำให้เห็นว่า ภาคการท่องเที่ยวในภาคใต้ของเวียดนามยังมีโอกาสและช่องทางในการลงทุนอีกมาก ซึ่งสามารถเชื่อมโยงดึงดูดนักท่องเที่ยวนอกภูมิภาคได้โดยง่าย และ ในปัจจุบัน นครโฮจิมินห์กำลังส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพโดยยกจุดเด่น ได้แก่ ราคาค่าบริการทางการแพทย์ถูกและบุคลากรทางการแพทย์มีคุณภาพ ซึ่งนครโฮจิมินห์ตั้งเป้าพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอย่างจริงจังในอนาคตอันใกล้
ธุรกิจการค้าปลีกสินค้าอุปโภคและบริโภค ในปี 2560 เวียดนามได้รับการจัดอันดับจากบริษัท A.T. Kearney ว่าเป็นประเทศน่าดึงดูดสำหรับตลาดค้าปลีก ซึ่งอยู่ในลำดับที่ 6 จากทั้งหมด 30 ประเทศที่ เป็นข้อได้เปรียบของนักลงทุนไทยเนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่มักเลือกซื้อสินค้าไทยมากกว่าสินค้าเวียดนามโดยไม่คำนึงถึงราคาเป็นอันดับแรก ผู้เชี่ยวชาญการตลาดชาวเวียดนามหลายคนชี้ว่า ภาพลักษณ์ของสินค้าไทยในตลาดเวียดนามถือว่าอยู่ในระดับที่ดี จากเหตุผล 5 ประการ ได้แก่ (1) การลงทุนของกลุ่มผู้ประกอบการไทย เช่น กลุ่มบริษัท Central ที่ลงทุนในกิจการซุปเปอร์มาเก็ต Big C และกลุ่มบริษัท BJC ที่ลงทุนในร้านสะดวกซื้อ B’Smart และห้างค้าปลีก/ส่ง MM MegaMall (2) ราคาสมเหตุสมผล (3) ภาพลักษณ์สินค้าไทยที่มีคุณภาพสูง (4) บรรจุภัณฑ์ที่สวยงาม และ (5) กระแสนิยมไทย
ศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยฯ เห็นว่านี้เป็นโอกาสที่ดีของผู้ประกอบการไทยที่จะนำเข้าสินค้ามาบุกตลาดเวียดนามโดยเฉพาะบริเวณภาคใต้และภาคกลางของเวียดนาม เช่น นครโฮจิมินห์ นครเกิ่นเทอ นครดานัง และจังหวัดในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ซึ่งผู้บริโภคมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 10 ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยพฤติกรรมผู้บริโภคในภาคใต้ของเวียดนามมักใช้เวลาเดินชมก่อนเลือกซื้อสินค้าและนิยมซื้อสินค้าที่ห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อสมัยใหม่ บริโภคสินค้าที่ทันสมัยและต้องการลองสิ่งใหม่ๆ เลือกซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้นเรื่อย ๆ และเลือกซื้อสินค้าตามโปรโมชั่น/ ส่วนลด หรือของแถม ซึ่งต่างจากพฤติกรรมผู้บริโภคในภาคเหนือที่ใช้จ่ายอย่างประหยัดและเลือกซื้อสินค้าตามความจำเป็น
หน่วยงานรัฐที่ต้องติดต่อก่อนมาลงทุนธุรกิจ SMEs ในภาคใต้ของเวียดนาม
ลำดับ | ขั้นตอน | หน่วยงาน | ระยะเวลาดำเนินการ | ค่าใช้จ่าย (ดอลลาร์สหรัฐ) |
1 | – ตรวจสอบรายชื่อบริษัท- ยื่นจดทะเบียนธุรกิจ- ยื่นจดทะเบียนและขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษี- ยื่นขอใบอนุญาตการประกอบธุรกิจ | (1) คณะกรรมการบริหารนิคมอุตสาหกรรม/เขตเศรษฐกิจ (สำหรับการจัดตั้งโรงงานการผลิต/แปรรูป/อื่นๆ)(2) สำนักงานการวางแผนและการลงทุนประจำจังหวัดต่างๆ (สำหรับโครงการลงทุนมูลค่าต่ำกว่า 3 แสนล้านด่ง) (ข้อมูลเพิ่มเติม: เว็บไซต์กรมการค้าเวียดนามhttp://www.vietrade.gov.vn/) | 5 – 18 วัน ขึ้นอยู่กับขนาดโครงการ | 10 |
2 | ทำตราประทับบริษัท | สำนักงานการวางแผนและการลงทุนประจำจังหวัดต่างๆ / สถานีตำรวจประจำพื้นที่ต่างๆ (ข้อมูลเพิ่มเติม: เว็บไซต์กรมการค้าเวียดนามhttp://www.vietrade.gov.vn/) | 2 – 4 วัน | 10 – 20 |
3 | เปิดบัญชีธนาคาร | ธนาคารพาณิชย์ | 1 วัน | – |
4 | เผยแพร่เนื้อหาการลงทะเบียนในพอร์ทัลจดทะเบียนธุรกิจแห่งชาติ (National Business Registration Portal: NBRP) | เว็บไซต์ National BusinessRegistration Portal(NBRP) (ลงทะเบียนที่เว็บไซต์https://dangkykinhdoanh.gov.vn/en-gb/home.aspx) | 5 วัน | 35 |
5 | ยื่นขอ Business License Tax และ ซื้อแบบฟอร์มใบกํากับภาษี VAT | สำนักงานสรรพากรแต่ละจังหวัด(ข้อมูลเพิ่มเติม: เว็บไซต์กรมสรรพากร http://www.gdt.gov.vn) | 10 วัน | 45 |
6 | ลงทะเบียนกับสำนักงานแรงงานในท้องถิ่นในการประกาศใช้แรงงาน และจดทะเบียนการทําประกันสุขภาพและประกันสังคมสําหรับลูกจ้าง | สำนักงานแรงงาน ทหารผ่านศึกและสวัสดิการแต่ละจังหวัด(ข้อมูลเพิ่มเติม: เว็บไซต์สำนักงานแรงงาน ทหารผ่านศึกและสังคม นครโฮจิมินห์www.sldtbxh.hochiminhcity.gov.vn/) | 1 วัน | – |
7 | จดทะเบียนกับสหภาพแรงงาน | สหพันธ์แรงงานเวียดนาม (ข้อมูลเพิ่มเติม: เว็บไซต์สหภาพแรงงานเวียดนาม http://laodong.com.vn/cong-doan/) | 7 วัน | – |
รวม ไม่เกิน 50 วัน | 110 – 120 |
เอกสารที่จำเป็นต้องใช้ในการยื่นจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท
1. หนังสือขออนุญาตสำหรับโครงการลงทุน
2. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน (กรณีจดทะเบียนในชื่อคนเวียดนาม) สำเนาหนังสือเดินทาง สำเนาใบรับรองการจัดตั้งธุรกิจหรือเอกสารทางกฏหมายอื่นๆ
3. หนังสือนำเสนอโครงการลงทุน เนื้อหา ประวัติ วัตถุประสงค์ จำนวนเงินลงทุน สถานที่ลงทุน ระยะเวลา ความคืบหน้าในการลงทุน ความต้องการด้านแรงงาน นำเสนอมาตรการจูงใจในการลงทุน การประเมิณผลต่อสิ่งแวดล้อม ประสิทธิภาพในการรับผิดชอบทางเศรษฐกิจและสังคม และอื่นๆ ตามที่สำนักงานการวางแผนและการลงทุนร้องขอ
4. สำเนาเอกสารอย่างใดอย่างหนึ่งจากตัวเลือกต่อไปนี้ (1) รายงานการเงินย้อนหลังของนักลงทุน 2 ปี (2) หลักฐานการสนับสนุนเงินลงทุนจากบริษัทแม่ (3) พันธสัญญาจัดหาเงินทุนของสถาบันการเงิน (4) หนังสือรับรองความสามารถทางการเงินของนักลงทุน และ (5) เอกสารชี้แจงความสามารถของนักลงทุน
5. หนังสือนำเสนอความต้องการในการใช้ที่ดินในการดำเนินธุรกิจ
6. หนังสือชี้แจงเทคโนโลยีที่ใช้ในการลงทุน
7. สัญญาความร่วมมือทางธุรกิจ (Business Co-operation Contract; BCC) หากลงทุนประเภท BCC
8. เอกสารอื่นๆ เช่น เอกสารตรวจสอบสารพิษ / เอกสารรับรองประสิทธิภาพของสินค้า
(ข้อมูลบางส่วนจาก สำนักงานส่งเสริมการค้าต่างในประเทศ ณ นครโฮจิมินห์)
*** ทั้งนี้ นักลงทุนควรศึกษาเอกสารที่ใช้ในการยื่นจดทะเบียนธุรกิจให้ถี่ถ่วน เนื่องจากธุรกิจแต่ละประเภทมีความจำเป็นต้องใช้เอกสารในการยื่นจดทะเบียนที่แตกต่างกัน เช่น ธุรกิจขายสินค้าประเภทอาหารและยา และรูปแบบของบริษัทที่ประสงค์จะจัดตั้ง เป็นต้น
ข้อควรระวัง
นักลงทุนทุกรายที่มีความต้องการลงทุนในภาคใต้ของเวียดนามควรมีการศึกษาข้อมูลก่อนเดินทางมาลงทุนเป็นอย่างดี โดยสิ่งที่สำคัญคือนักลงทุนควรศึกษากฏระเบียบให้ถี่ถ้วนและปรึกษาที่ปรึกษาทางกฏหมายที่เชื่อถือได้ และเมื่อมาลงทุนในภาคใต้ของเวียดนามแล้ว นักลงทุนควรจะเคารพและปฎิบัติตามกฏหมายของเวียดนามอย่างเคร่งครัด
หนังสือคู่มือการทำธุรกิจและการลงทุนในเวียดนามในเขตกงสุล
เพื่อสนับสนุนนักลงทุนไทยโดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและย่อม ศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในนครโฮจิมินห์ได้ร่วมมือกับบริษัท Baker & Mckenzie จัดทำ “หนังสือคู่มือการทำธุรกิจและการลงทุนในเวียดนาม” ในเขตกงสุล สำหรับผู้ที่สนใจ โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับการลงทุนในเวียดนาม รูปแบบการลงทุน ขั้นตอนการลงทุน ขั้นตอนการอนุมัติสำหรับผู้ลงทุนต่างชาติ ตลอดจนรูปแบบการประกอบธุรกิจในเวียดนาม ผู้ที่สนใจสามารถเข้ามารับหนังสือคู่มือดังกล่าวโดยตรงได้ที่ สถานกงสุลใหญ่ นครโฮจิมินห์ เลขที่ 77 ถนน Tran Quoc Thao เขต 3 นครโฮจิมินห์ หรือหากไม่สะดวก ทางสถานกงสุลใหญ่ฯ มีบริการส่งไปรษณีย์ให้ที่ประเทศไทย โดยผู้ที่สนใจสามารถส่งข้อความแสดงความประสงค์ขอหนังสือดังกล่าวได้ทางเฟสบุคสถานกงสุลใหญ่ฯ ที่ https://www.facebook.com/RTCG.HCMC/
ศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในนครโฮจิมินห์