ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ธุรกิจ E – Commerce ในภาคใต้ของเวียดนามมีอัตราการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทหลายแห่งในเวียดนามต้องการที่จะขยายขนาดธุรกิจและเพิ่มโอกาสให้กับตนเอง ด้วยการพัฒนาธุรกิจ E-Commerce เช่น เว็บไซต์ และ Facebook ของบริษัท เป็นต้น สินค้าที่เป็นที่นิยมมากที่สุดคือสินค้าประเภท เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องสำอาง อุปกรณ์เทคโนโลยี อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
การพัฒนาธุรกิจ E-Commerce ในภาคใต้ของเวียดนาม
รัฐบาลเวียดนามได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีและสนับสนุนให้มีการลงทุนในธุรกิจ E-Commerce โดยมีนโยบายสนับสนุนต่างๆ เช่น การลดหย่อนภาษีออนไลน์ เป็นต้น การซื้อขายออนไลน์มีช่องทางในการให้บริการที่หลากหลายมากขึ้นซึ่งรวมไปถึงการบริการด้านสาธารณูปโภค ตัวอย่างเช่น ในปี 2550 การไฟฟ้านคร โฮจิมินห์ได้ร่วมมือกับธนาคารท้องถิ่นในการเก็บค่าไฟฟ้าผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มแรกของการพัฒนาธุรกิจการชำระเงินผ่านระบบออนไลน์ โดยปัจจุบัน ผู้ใช้ไฟฟ้าร้อยละ 50 ในนครโฮจิมินห์ชำระค่าบริการผ่านช่องทางดังกล่าว และการพัฒนาการส่งพัสดุ/สินค้า โดยบริษัทส่งสินค้าทั้งภายในและภายนอกประเทศ
จากการเข้าเป็นสมาชิกองค์กรการค้าโลก (World Trade Organization; WTO) ในปี 2550 ทำให้เวียดนามเริ่มเปิดให้ต่างชาติได้เข้ามาลงทุนในโครงข่ายอินเตอร์เน็ตและโทรคมนาคม ร่วมกับบริษัทท้องถิ่น ดังนั้น รัฐบาลจึงเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและกรอบการดำเนินการทางกฎหมายเพื่อรองรับธุรกิจประเภท E – Commerce และการค้าขายออนไลน์ในรูปแบบอื่นๆ
บริษัทที่เป็นผู้นำทางด้าน E – Commerce ในภาคใต้ของเวียดนาม เช่น เว็บไซต์ Mobile World JSC และ เว็บไซต์ Lazada เป็นผู้ถือครองส่วนแบ่งในตลาดรายใหญ่ในแง่ของรายได้โดยรวม ซึ่งนอกจาก 2 เว็บไซต์ที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีบริษัทอีกมากมายที่เข้าร่วมในตลาดการแข่งขัน E-Commerce ที่กำลังเป็นที่นิยม ได้แก่ เว็บไซต์ Tiki.vn เว็บไซต์ Vatgia.com อีกทั้งคู่แข่งที่เป็นบริษัทต่างประเทศอย่าง Amazon, Alibaba และ eBay เป็นต้น
ธุรกิจ E – Commerce ข้ามพรมแดน
เป็นที่น่าสังเกตุว่า ผู้บริโภคสินค้าออนไลน์ชาวเวียดนามนิยมเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากสหรัฐอเมริกา ผ่านทางเว็บไซต์ Amazon และ eBay โดยสินค้าที่นิยมซื้อคือสินค้าประเภทสินค้า แฟชั่น และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ปัจจุบัน Amazon ดำเนินการขายของออนไลน์โดยตรงเฉพาะประเภทหนังสือกับผู้ซื้อสินค้าชาวเวียดนาม ดังนั้นผู้ซื้อสินค้าที่ต้องการซื้อ สินค้าอื่นๆ บนเว็บไซต์ Amazon.com ต้องซื้อสินค้าผ่านบริการของคนกลาง โดยในปี 2559 ชาวเวียดนามซื้อสินค้าบนเว็บไซต์ Amazon มากกว่า 800 ล้านชิ้น ในขณะเดียวกัน มีสื่อรายงานในเดือนเมษายน 2560 ที่ผ่านมาว่าเว็บไซต์ Amazon จะเปิดบริการซื้อขายสินค้าออนไลน์โดยจะจัดตั้ง E-Commerce Platform ในประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และไทย
ในเดือนสิงหาคม 2559 นายกรัฐมนตรีเวียดนามได้ออกคำสั่งหมายเลข 1563/QD-TTg เพื่ออนุมัติแผนพัฒนา ธุรกิจ E – Commerce ระหว่างปี 2559 – 2563 โดยจากประกาศดังกล่าวจะส่งผลให้ภายในปี 2563 ระบบขนส่ง และบริการที่เกี่ยวข้อง กับธุรกิจ E – Commerce จะครอบคลุมพื้นที่ในทุกจังหวัดและทุกเมืองของประเทศ
เว็บไซต์ E – Commerce ชั้นนำในเวียดนาม


พฤติกรรมของผู้บริโภคในภาคใต้ของเวียดนามต่อธุรกิจ E – commerce
ตารางแสดงปริมาณผู้ใช้ E – Commerce ในเวียดนาม (จำแนกตามจังหวัด)

ในปี 2559 ประชาชนในนครโฮจิมินห์เข้าถึงตลาด E – commerce กว่าร้อยละ 38 และอันดับ 2 คือกรุงฮานอยที่ร้อยละ 17 ตามลำดับ
ตารางแสดง ช่องทางที่ทำให้ผู้บริโภครู้จักผู้ให้บริการ E – Commerce (จำแนกตามจังหวัด)

ในปี 2559 ผู้ใช้บริการ E-Commerce ในนครโฮจิมินห์ส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 60 รู้จักสินค้าหรือบริการบน E – Commerce จากคำแนะนำของคนรู้จัก โฆษณาจากสื่อทางโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook หรือการค้นหาสินค้าบนเว็บไซต์ Google
ตารางแสดงเว็บไซต์ E – Commerce ที่ผู้บริโภคออนไลน์ใช้บริการมาที่สุด (จำแนกตามจังหวัด)

ในปี 2559 เว็บไซต์ที่ถูกใช้บริการมากที่สุดในนครโฮจิมินห์ก็คือ Tiki.vn กว่าร้อยละ 28 ตามมาด้วย Lazada.vn ที่ร้อยละ 23
ตารางแสดงรูปแบบการชำระเงิน (จำแนกตามจังหวัด)

จากตารางข้างต้นพบว่า ผู้บริโภคสินค้าออนไลน์กว่าร้อยละ 80 ในนครโฮจิมินห์เลือกที่จะชำระสินค้าในวันที่สินค้าส่งถึงมือ และอีกร้อยละ 19 เลือกใช้บริการชำระสินค้าทางออนไลน์
แนวโน้มธุรกิจ E – Commerce ในภาคใต้ของเวียดนาม
อาจเรียกได้ว่า E – Commerce ในประเทศเวียดนามโดยเฉพาะนครโฮจิมินห์มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและเป็นจุดสนใจของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ผู้เชี่ยวชาญได้คาดการณ์ว่า ตลาด E – Commerce ในภาคใต้จะโตขึ้นกว่าร้อยละ 22 ในปีนี้และเพิ่มขึ้นอีกกว่าอีกร้อยละ 13.2 ในปี 2563 อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีแนวโน้มการเติบโตที่สดใส แต่สิ่งที่นักลงทุนหลายคนมองว่าเป็นอุปสรรคในการลงทุน ได้แก่
ตารางแสดงเหตุผลทีผู้บริโภคไม่เลือกซื้อสินค้าทางออนไลน์

ตารางแสดงอุปสรรค์ของธุรกิจ E – Commerce

1. ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังคงไม่สูงนัก เนื่องจากผู้บริโภคในภาคใต้ของเวียดนามส่วนใหญ่ยังคงไม่มั่นใจกับบริการซื้อสินค้าออนไลน์ ทั้งเรื่องคุณภาพ ขนาด รูปแบบของสินค้า ซึ่งผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ต้องการให้มีข้อมูลของสินค้าให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น 2. การตรวจสอบสินค้าปลอม ซึ่งสร้างความไม่พอใจต่อลูกค้าออนไลน์เป็นอย่างมาก ทำให้การซื้อขายผ่าน E – commerce ในเวียดนามนั้นยังไม่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้มากเท่าที่ควร
3. ราคาสูงเกินจริง บางครั้งสินค้าออนไลน์ยังคงมีราคาที่สูงเกินกว่าความเป็นจริง ซึ่งหากซื้อในห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้าเฉพาะทางที่มีหน้าร้านจะมีราคาถูกกว่า 4. ขั้นตอนที่ยุ่งยากในการสั่งสินค้า สำหรับลูกค้าออนไลน์บางกลุ่มมีความไม่มั่นใจต่อกระบวนการสั่งซื้อสินค้าและทำให้บางส่วนไม่เลือกใช้บริการ E – Commerce
5. ลูกค้าออนไลน์ไม่ต้องการเปิดเผยข้อมูลที่เป็นส่วนตัว เพราะกลัวว่าอาจเป็นภัยต่อตนเอง 6. ระบบการขนส่งสินค้าที่ไม่มีความเป็นมืออาชีพ อาจเกิดอันตรายต่อสินค้าในขณะขนส่งสินค้า 7.เว็บไชต์ที่ดูไม่มีความเป็นมืออาชีพ ทำให้ลูกค้าขาดความเชื่อมั่นกับการใช้บริการผ่านทางร้านค้าออนไลน์ดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในนครโฮจิมินห์ยังมองว่า ธุรกิจ E – Commerce ในภาคใต้ของเวียดนามยังมีช่องทางและโอกาสในการเติบโตอยู่มาก ดั่งเหตุผลต่อไปนี้
1. สังคมของเวียดนามโดยเฉพาะในภาคใต้ของเวียดนามมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสังคมชนชั้นกลางเติบโตมากขึ้นและผู้บริโภคในภาคใต้ของเวียดนามมีกำลังซื้อสินค้าที่มากขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะพฤติกรรมของผู้บริโภคในภาคใต้ที่นิยมซื้อสินค้าออนไลน์และจับจ่ายใช้สอยมากกว่าผู้บริโภคในภาคเหนือหรือภาคกลาง
ตารางแสดงการใช้เงินซื้อสินค้าออนไลน์ระหว่างช่วงอายุ (ซ้าย) การใช้เงินซื้อสินค้าออนไลน์ตามรายได้ (ขวา)

2. ธุรกิจ E – Commerce ยังมีศักยภาพในการพัฒนาอยู่มาก ทั้งในแง่ของประชากรที่ประเทศเวียดนามมีประชากรราว 90 ล้านคน และกว่าร้อยละ 45 สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ รวมถึงความครอบคลุมทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่ได้รับการสนับสนุนและพัฒนาจากภาครัฐ
3.ประชากรวัยรุ่นมีศักยภาพในการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ง่ายมากขึ้น การเข้าถึงสื่อออนไลน์ในปัจจุบันเป็นสิ่งที่ง่ายมากขึ้นและประชาชนทุกเพศทุกวัยสามารถที่จะท่องเว็บไซต์และหาซื้อสินค้าที่ต้องการเพียงแค่ปลายนิ้ว
หากผู้ประกอบการ E – Commerce ไทยต้องการที่จะเข้ามาในตลาดของเวียดนาม ผู้ที่สนใจควรจะพิจารณาประเด็นต่างๆ เหล่านี้
1. การเคารพต่อกฏหมาย ข้อบังคับ และธรรมเนียมปฎิบัติของเวียดนาม ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญในการประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจในประเทศเวียดนาม
2. ความซื่อสัตย์ต่อลูกค้าและการตรวจเช็คสินค้าให้เป็นไปตามาตรฐานสอดคล้องกับที่หน้าเพจเว็บไซต์ได้แจ้งเอาไว้
3. การบริการหลังการขาย เนื่องจากลูกค้าออนไลน์ในเวียดนามส่วนใหญ่นั้นยังมีความกังวลเกี่ยวกับการซื้อสินค้าออนไลน์ เพราะในบางครั้งเมื่อซื้อสินค้ามาแล้วไม่ได้เป็นไปดั่งที่คาดหวังและไม่สามารถเปลี่ยนคืนได้ การบริการหลังการขายและการแสดงความรับผิดชอบต่อลูกค้านั้นก็เป็นสิ่งหนึ่งที่จะช่วยเสริมสร้างให้ธุรกิจ E – Commerce ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าและสามารถเป็นที่แพร่หลายได้ในอนาคต
4. ราคาสินค้าในหน้าเว็บไซต์ ควรมีราคาที่เหมาะสม ไม่เกินจริง
5. ความหลากหลายในสินค้า เศรษฐกิจเวียดนามที่มีอัตราการเจริญเติบโตมากขึ้นลูกค้าออนไลน์ย่อมมีกำลังซื้อที่สูงขึ้นและมีแนวโน้มในการเลือกสินค้าที่หลากหลาย การนำสินค้ารูปแบบต่างๆเพิ่มเข้ามายังเว็บไซต์ก็จะเป็นการเพิ่มความสามารถในการดึงลูกค้าออนไลน์ของธุรกิจ
6. การอำนวยความสะดวกด้านช่องทางการชำระเงิน ให้แก่ลูกค้ามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรือทำขั้นตอนการชำระเงินที่น่าเชื่อถือ ปลอดภัยและเข้าใจได้ง่ายต่อผู้ใช้บริการ
7. ทิศทางของตลาด เนื่องจากทิศทางและกระแสผู้บริโภคในภาคใต้ของเวียดนามคล้ายคลึงกันกับผู้บริโภคชาวไทย ซึ่งมีความนิยมเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาตลาดการลงทุนให้ถี่ถ้วนเสียก่อน
ตารางแสดงประเภทสินค้าทีได้รับความนิยมผ่านช่องทาง E – Commerce

จากตารางข้างต้นแสดงให้เห็นว่า ในปี 2559 สินค้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในตลาด E – Commerce เวียดนามคือสินค้าประเภทเสื้อผ้า รองเท้า และเครื่องสำอาง คิดเป็นร้อยละ 64 ตามมาด้วยสินค้าประเภทอุปกรณ์เทคโนโลยีกว่าร้อยละ 56 ตามลำดับ ซึ่งสินค้าประเภทอุปโภค บริโภคยังมีแนวโน้มที่จะเจริญเติบโตและได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่องในประเทศเวียดนาม
จากการวิเคราะห์ของศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในนครโฮจิมินห์ พบว่า สินค้าไทยที่มีศักยภาพเข้ามาตีตลาด E-Commerce ในเวียดนามได้แก่ (1) สินค้าแฟชั่น (2) สินค้าอุปโภคบริโภค และ (3) สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งประเภทสินค้าข้างต้นล้วนแต่เป็นที่นิยมในหมู่ชาวเวียดนาม ประกอบกับกระแสนิยมสินค้าไทยในหมู่ชาวเวียดนาม ทำให้สินค้าประเภทดังกล่าวสามารถตอบโจทย์ของตลาดได้เป็นอย่างดี
ขั้นตอนการขายสินค้าออนไลน์ในภาคใต้ของเวียดนาม
ตามมาตรา 47/2014/TT-BCT กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าออนไลน์ ศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในนครโฮจิมินห์ขอนำเสนอขั้นตอนการดำเนินธุรกิจการค้าออนไลน์ในภาคใต้ของเวียดนาม ดั่งนี้
1. สร้าง Website / Facebook / ช่องทางการค้าออนไลน์อื่นๆ ในประเทศเวียดนาม
ขั้นตอนที่ 1 สร้าง Website / บัญชี Facebook เพื่อดำเนินธุรกิจในเวียดนาม
ขั้นตอนที่ 2 ใส่รายละเอียดที่อยู่ที่สามารถติดต่อ / รายละเอียดของสินค้า / ใบรับรองต่างๆ (จำเป็นสำหรับสินค้าบางชนิด เช่น สินค้าเครื่องสำอาง/ อาหาร/ ยา) ให้ชัดเจน
ขั้นตอนที่ 3 ลงทะเบียนค้าขายออนไลน์กับกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า www.online.gov.vn
ขั้นตอนที่ 4 เจ้าหน้าที่ดำเนินการพิจารณาภายในระยะเวลา 30 วัน และแจ้งผลให้ทราบ หากผ่านการพิจารณาจะได้รับใบอนุญาตการค้าขายออนไลน์และชำระภาษีกับภาครัฐ
ขั้นตอนที่ 5 ขายสินค้า
2. ขายสินค้าผ่านทาง E-Commerce Platform เช่น Lazada / Shoppee / Tiki เป็นต้น
ขั้นตอนที่ 1 ลงทะเบียนข้อมูลส่วนบุคคล / รายละเอียดของสินค้า/ ใบรับรองต่างๆ (ถ้าจำเป็นสำหรับสินค้าบางชนิด เช่น สินค้าเครื่องสำอาง/ อาหาร/ ยา) ให้ชัดเจน บน E-Commerce Platform
ขั้นตอนที่ 2 รอการตรวจสอบจากผู้ให้บริการ E-Commerce Platform
ขั้นตอนที่ 3 ลงนามในสัญญาระหว่างผู้ซื้อ – ผู้จำหน่ายสินค้า
ขั้นตอนที่ 4 สร้าง Content ของสินค้าร้านตนเองออนไลน์ เช่น ราคาและรูปแบบการส่งสินค้า เป็นต้น
ขั้นตอนที่ 5 ขายสินค้า
ทั้งนี้ ในปัจจุบัน ทางการนครโฮจิมินห์เริ่มเข้มงวดในการตรวจตราการค้าขายออนไลน์อย่างผิดกฏหมาย เช่น หลีกเลี่ยงการชำระภาษี และการค้าขายสินค้าบน Facebook ซึ่งล่าสุด ได้มีการออกหนังสือเชิญผู้ค้าสินค้าบน Facebook ในบริเวณนครโฮจิมินห์จำนวน 12,500 ราย เข้าแสดงตัวกับทางการเพื่อเรียกเก็บภาษี อย่างไรก็ดี ข้อกำหนดกระบวนการเก็บภาษีและการขายสินค้าบน Facebook ยังคงไม่ชัดเจน โดยศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในนครโฮจิมินห์จะติดตามและอัพเดทความเคลื่อนไหวให้ทุกท่านทราบต่อไป
ความเคลื่อนไหวล่าสุด
สำนักงานสรรพากรนครโฮจิมินห์ประกาศว่า ผู้ประกอบการบน Facebook และช่องทางอื่นๆ ที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนอย่างเป็นทางการจะต้องแจ้งรายได้การค้าขายออนไลน์ให้กับทางการทราบ เพื่อดำเนินการเก็บภาษีโดยเร็ว โดยหากผู้ประกอบการรายใดมีรายได้มากกว่า 100 ล้านด่ง / ปี จะต้องชำระภาษีให้กับทางภาครัฐ ซึ่งประกอบได้ด้วย ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีนิติบุคล ภาษีสินค้าชนิดพิเศษ (ถ้ามี) และภาษีสิ่งแวดล้อม (ถ้ามี)
ผู้ประกอบการประเภท (1) ผู้จำหน่ายสินค้าจะต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 1 และภาษีนิติบุคคลร้อยละ 0.5 จากรายได้ทั้งหมด (2) ผู้ที่ให้บริการจะต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 5 และภาษีนิติบุคคลร้อยละ 2 (3) ผู้ประกอบธุรกิจทางด้านการขนส่งสินค้าจะต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 3 และภาษีนิติบุคคลร้อยละ 1.5 และ (4) ผู้ประกอบธุรกิจประเภทอื่นๆ จะต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 2 และภาษีนิติบุคคลร้อยละ 1 สำหรับภาษีสรรพสามิตนั้น ผู้ที่มีรายได้มากกว่า 500 ล้านด่งต่อปี จะต้องชำระภาษีมูลค่า 1 ล้านด่งต่อปี ผู้ที่มีรายได้ตั้งแต่ 300 – 500 ล้านด่งจะต้องชำระภาษี 500,000 ด่งต่อปี และผู้ที่มีรายได้ตั้งแต่ 100 – 300 ล้านด่งจะต้องชำระภาษี 300,000 ด่งต่อปี *** 10,000 ด่ง = 15 บาท อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 21 ก.ค. 60