บริษัทให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ Jones Lang LaSalle Vietnam (JLL) และบริษัท CBRE Vietnam รายงานว่า ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 นครโฮจิมินห์มียอดขายที่อยู่อาศัยราคาสูง (high-end apartment) เพียง 39 ยูนิตจากทั้งหมด 1,693 ยูนิต ซึ่งเป็นโครงการคงค้างจาก 3 ไตรมาสแรกของปี 2566 คิดเป็นร้อยละ 2.3 ลดลงจากไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 ซึ่งมียอดขายที่อยู่อาศัยราคาสูงประมาณ 2,500 ยูนิตจาก 3,600 ยูนิต คิดเป็นร้อยละ 55
นอกจากนี้ ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 ยังพบว่าราคาเฉลี่ยของที่อยู่อาศัยราคาสูงลดลงร้อยละ 12.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 เหลือเพียง 120 ล้านด่ง (5,087 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อตารางเมตร ในขณะเดียวกัน ราคาที่อยู่อาศัยในตลาดรอง (secondary market) เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการที่เพิ่งสร้างเสร็จและตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง ทั้งนี้ สาเหตุที่ทำให้อุปทานและยอดขายของที่อยู่อาศัยราคาสูงลดลงเนื่องจาก (1) นักลงทุนมีความระมัดระวังในการซื้อขายมากขึ้น บริษัทผู้พัฒนาโครงการจึงตัดสินใจเลื่อนการเปิดโครงการใหม่ไปยังปี 2567 (2) ความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน เนื่องจากผู้ซื้อส่วนใหญ่ต้องการที่อยู่อาศัยในราคาที่สมเหตุสมผล ในขณะที่บริษัทผู้พัฒนาเน้นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยราคาสูง
นาย Le Hoang Chau ประธานสมาคมอสังหาริมทรัพย์นครโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh City Real Estate Association) ให้ข้อมูลว่า ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2566 ที่อยู่อาศัยราคาสูงคิดเป็นร้อยละ 66.4 ของอุปทานที่อยู่อาศัยใหม่ ในขณะที่ที่อยู่อาศัยระดับกลางคิดเป็นร้อยละ 33.6 และไม่มีที่อยู่อาศัยราคาย่อมเยาเปิดขายในช่วงดังกล่าว จึงส่งผลให้ที่อยู่อาศัยราคาสูงล้นตลาดและขาดแคลนที่อยู่อาศัยราคาย่อมเยา ทั้งนี้ นาง Trang Le หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษาของบริษัท JLL คาดการณ์ว่า ในปี 2567 นครโฮจิมินห์จะมีที่อยู่อาศัยราคาสูงคงค้างกว่า 4,900 ยูนิต
อนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า ในปี 2567 ความต้องการของตลาดอสังหาริมทรัพย์จะยังคงกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มที่อยู่อาศัยที่มีราคาต่ำกว่า 2.5 พันล้านด่ง (1.02 แสนดอลลาร์สหรัฐ) รวมถึงกลุ่มที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่ขนาดเล็กและราคาปานกลางที่เหมาะสำหรับคนโสด คนในช่วงวัย Gen Z และครอบครัวขนาดเล็ก
ที่มา: VnExpress International เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2567